ยังมีนกตัวหนึ่ง มันมิใช่เหยี่ยวราตรี ทั้งที่มิใช่ค้างคาวหรือนกฮูก มันหลับและฝันร้ายละเมอกระพือปีกบินในดงหนาม ในฝันของมันรู้สึกราวกับต้องสายลมรวยรื่น และบินผ่านดงไม้แห่งฤดูเบิกบานใจ ในฝันนั้นว่ามันบินไปได้ถึงสุดขอบฟ้า มันฝัน หากทว่ามันละเมอบินจริง นัยน์ตาของมันแดงก่ำ ทั้ง ๆ เปลือกตาปิดสนิท ลมหายใจของมันอึดอัดขัดข้อง และเพลงที่มันร้องนั้นแหบโหย หากแต่หูในฝันของมันฟังเป็นเสียงเสนาะ มันบินเสาะหาการยอมรับจากเพื่อนฝูง มันพยายามจะบอกเพื่อนว่ามันคือนกอิสระร่าเริงและเป็นมหาคุรุของนกทุกชนิด "ข้าคือพญาครุฑผู้สำเร็จเพราะข้าคิดได้สิ้นถึงวิมุติและนิรวาณ ข้ารู้จักโลกและธรรม ฮ้า ฮ่า สัจธรรมของพระพุทธเจ้านี่ดีแท้ ดีเพราะทำให้ข้ารู้ประจักษ์แจ้ง และปลุกข้าให้ตื่นขึ้นเพื่อเกื้อกูลประชาสัตว์ผู้น่าสงสาร ข้าตื่นแล้ว ทั้งยังกรุณาปลุกลูกเมียข้าและเพื่อนฝูงให้ตื่นตาม เพื่อนำโลกนี้ให้อยู่รอดปลอดภัย"
นกที่มิใช่เหยี่ยวราตรีนั้นบินละเมอทั้งหลับอยู่ แต่ฝันถึงความตื่นทั้งยังกรุณาเกื้อกูลปลุกผองเพื่อนให้ตื่นตาม มันรู้สึกราวกับโลกคือแสงสว่าง เมื่อมีเพื่อนนกทักท้วงถึงความหลง มันก็ยิ่งฝันว่าตื่นแล้วและพวกเขาผู้ติติงทั้งหมดยังหลับอยู่
เรื่องในความฝันนั้น บางครั้งจริงแท้เสียนี่กระไร และเรื่องในความตื่นช่างดาดสามัญจนดูเป็นเท็จ นกละเมอฝันที่มิใช่เหยี่ยวราตรี มิใช่ค้างคาว ทั้งมิใช่นกฮูกนั้น บินชนเข้ากับตอแหลม มันเจ็บและร่วงลงสู่พื้นดิน หากแต่ในห้วงฝันของมันคือสรวงสวรรค์ มันไม่ยอมตื่นอีก ทั้งนี้ใครเล่าจะตัดสินได้ว่าไหนตื่นไหนฝัน ไหนจริงไหนเท็จ
..............................
เรื่องราวจากหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า
"เพียงรักและตระหนักรู้"
เขมานันทะ