ในวันอันเร่งรีบของชีวิตสมัยใหม่ เรามักจะละเลยสัญญาณเตือนเล็กๆ น้อยๆ จากร่างกาย โดยเฉพาะจังหวะการเต้นของ "หัวใจ" ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมง หลายคนอาจเคยสัมผัสได้ถึงอาการใจสั่น ความรู้สึกเหมือนหัวใจกระโดดข้ามจังหวะ หรือจู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยหอบขณะนั่งนิ่งๆ อาการเหล่านี้มักถูกตีความว่าเป็นเพียงความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการดื่มกาแฟมากเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติอาจเป็นรหัสลับที่ร่างกายพยายามบอกเราว่า มีบางอย่างที่อันตรายกำลังเกิดขึ้นภายใน โดยปกติแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจขณะพักของคนสุขภาพแข็งแรงจะอยู่ที่ประมาณ 60 ถึง 100 ครั้งต่อนาที แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่มีปัจจัยกระตุ้น เช่น การออกกำลังกาย หรืออาการตื่นเต้น นั่นอาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) ซึ่งความชะล่าใจในจุดนี้คือสิ่งที่อันตรายที่สุด เพราะภาวะดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกรำคาญใจ แต่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมองและอวัยวะภายในที่สำคัญ


หนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อยและเป็นอันตรายอย่างยิ่งคือ ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation หรือ AF) ซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกและเกิดการตกค้างในห้องหัวใจ จนนำไปสู่การก่อตัวของลิ่มเลือด หากลิ่มเลือดนี้หลุดลอยออกไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง ก็จะทำให้เกิดอัมพฤกษ์หรืออัมพาต (Stroke) ได้ในทันที นอกจากนี้ การที่หัวใจเต้นเร็วเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักจนเกินขีดจำกัด ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจโตในระยะยาว ซึ่งเป็นภาวะที่รักษาได้ยากและบั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างมหาศาล สาเหตุของการเต้นผิดจังหวะนั้น หัวใจเต้นผิดปกติ มีหลากหลาย ตั้งแต่ปัจจัยภายนอกอย่างความเครียดสะสม การบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ หรือยาบางชนิด ไปจนถึงปัจจัยภายในที่รุนแรง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง หรือความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ การที่เราปล่อยปละละเลยและคิดว่า "เดี๋ยวก็หายเอง" อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งทางการแพทย์ยืนยันว่าโรคหัวใจหลายชนิดหากตรวจพบเร็วจะสามารถรักษาให้หายขาดหรือควบคุมได้ด้วยยาและการปรับพฤติกรรม การสังเกตตัวเองจึงเป็นกุญแจสำคัญ หากคุณพบว่ามีอาการใจสั่นร่วมกับอาการหน้ามืด จะเป็นลม เจ็บแน่นหน้าอก หรือหายใจไม่อิ่ม นั่นคือสัญญาณ "สีแดง" ที่ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก มีทั้งเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) หรือแม้แต่อุปกรณ์สวมใส่อย่างสมาร์ทวอทช์ที่ช่วยบันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจได้เบื้องต้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็น "ทัศนคติ" ของเราที่มีต่อสุขภาพ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา สมัครสมาชิก

×
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

รายละเอียดเครดิต

Copyright © 2011-2026 Kulasang.net. All Rights Reserved.