|
ไขมันดี (โดยเฉพาะโอเมก้า-3) → สร้างเยื่อหุ้มเซลล์สมอง
โปรตีนคุณภาพดี → สร้างสารสื่อประสาท เช่น โดพามีน, เซโรโทนิน
วิตามินและแร่ธาตุ → เช่น วิตามิน B, D, สังกะสี, ธาตุเหล็ก
พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
น้ำเพียงพอ → ช่วยให้ส่งสัญญาณได้ลื่นไหล
มี DHA และ EPA (กรดไขมันโอเมก้า-3) สูงมาก
DHA = โครงสร้างหลักของสมอง (ถึง 60% ของไขมันในสมอง!)
ช่วยสร้างปลอกไมอีลิน → ส่งสัญญาณประสาทเร็วขึ้น
ช่วยให้เด็กพัฒนาความจำ สมาธิ การเรียนรู้ดีขึ้น
📚 งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า เด็กที่กินปลาสม่ำเสมอ มีคะแนน IQ และผลการเรียนเฉลี่ยสูงกว่าเด็กที่ไม่กิน
✅ 2. ปลาน้ำจืด (เช่น ปลานิล, ปลาช่อน)มีโปรตีนคุณภาพดี → สร้างเซลล์ประสาทใหม่
บำรุงกล้ามเนื้อ + ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล → สมองทำงานเสถียร
ย่อยง่ายกว่าหมู/วัว → ไม่ทำให้หนักท้อง ช่วยให้ไม่ง่วงในห้องเรียน 😴
สารอาหาร | ประโยชน์ต่อสมอง |
---|---|
วิตามิน D | ปรับอารมณ์, ลดซึมเศร้า |
ไอโอดีน | จำเป็นต่อฮอร์โมนไทรอยด์ → ควบคุมการเจริญเติบโต |
สังกะสี (Zinc) | ช่วยการจดจำ สมาธิ |
ธาตุเหล็ก | เพิ่มออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง |
อาจมีผลได้:
เด็กบางคนขาด DHA → สมาธิสั้น, ความจำสั้น
ผู้ใหญ่เสี่ยงสมองล้า หลงลืมง่าย เครียดไว
📌 แต่อย่าตกใจ! ถ้าไม่กินปลา คุณยังหาโอเมก้า-3 ได้จาก:
ไข่เสริม DHA
เมล็ดแฟลกซ์, เมล็ดเจีย, วอลนัท
น้ำมันคาโนลา, น้ำมันปลาจากแคปซูล
คำถาม | คำตอบ |
---|---|
กินปลา = ฉลาดทันทีไหม | ❌ ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่ช่วย “เสริมการทำงานของสมอง” |
กินปลาชนิดไหนดี | ✅ ปลาทะเลน้ำลึก (โอเมก้า-3 สูง) |
ต้องกินบ่อยแค่ไหน | อย่างน้อย 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ |
เด็กกินได้ไหม | ได้ และ ควรเริ่มตั้งแต่เล็ก (ปลานึ่ง, ต้ม, ตุ๋น) |
ทอดกรอบๆ ได้ไหม | ได้ แต่ควรเลี่ยงการใช้น้ำมันซ้ำบ่อยเกินไป |