ดู: 1594|ตอบกลับ: 3

นั่งรถไฟฟรีไปเชียงใหม่-เชียงราย 7 วัน ตะลุย 7 ดอย

[คัดลอกลิงก์]
เช็คอินสะสม: 135 วัน
เช็คอินต่อเนื่อง: 0 วัน

ความคืบหน้าการอัพเกรด: 100%

สมาชิก kulasang.net เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์

คุณจำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? สมัครสมาชิก

x


          15 มกราคม 2557 วันออกเดินทางจากสถานีหัวลำโพง นั่งตรงไปยังเชียงใหม่ ไม่ต้องไปต่อเครื่องนะครับ สำหรับรถไฟฟรี แต่จอดเกือบทุกสถานีแค่นั้นเอง 555 เป้ ถุงนอน เต็นท์ พร้อม...ลุยยยยยยยย



          เหมือนเดิมครับก่อนขึ้นรถไฟก็ต้องไปเอาตั๋วก่อน แม้จะเป็นตั๋วฟรีก็เถอะระบุที่นั่งชัดเจนนะครับ อย่ามั่วนิ่ม แต่รอบนี้คนเยอะกว่ารอบที่แล้วมากครับ ตั๋วยืนเพียบ เรียกได้ว่ายืนมองตากันปริบ ๆ เลย แต่คนชั่ว ๆ อย่างผมไม่มีทางลุกให้นั่งหรอกครับ ไกลขนาดนี้ผมยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ไม่สิ ไอ้น้องตัวแซบด้วย 555 มาด้วยกันก็เนียนด้วยกัน ชนิดที่ว่าปวดฉี่ก็ไม่ลุกไปเข้าห้องน้ำ

          12.45 น. รถไฟก็ออกตรงเวลาเหมือนเดิม ปู๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน



          พอเลยอยุธยาและลพบุรีออกไปแล้วคนก็เริ่มน้อยคงละครับ แต่ก็เยอะอยู่ดี
         


          วิวจะเริ่มมีอะไรให้ดูมากขึ้น นั่งไปครับยาว ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 16 ชั่วโมง เพลิน ๆ



          นั่งรถไฟยาว ๆ นาน ๆ แบบนี้ไม่ต้องกลัวนะครับว่าจะหิวไม่มีอะไรให้กิน มีแม่ค้าขึ้นมาขายตลอดทาง รวมถึงตู้เสบียงด้วย จากประสบการณ์ครั้งที่แล้วสอนให้เรารู้ว่า เราจะกิน ๆๆๆๆ แบบคราวที่แล้วอีกไม่ได้



          นั่ง ๆ นอน ๆ หลับไปหลับมาก็ถึงเชียงใหม่ครับ รอบนี้ถึงประมาณตีห้าครึ่ง ไม่ช้ามากเหมือนคราวที่แล้ว แต่จริง ๆ ผมว่าเลทเถอะ ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์เปิด 08.30 น. แล้วจะไปทำอะไร สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือรอครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ผมมีกิจกรรมหนึ่งมานำเสนอครับ



          ก็ไม่มีอะไรมาก แค่จะบอกว่านอนเถอะ 55555 นอนจริงหลับจริงไม่มีที่นอนสปริง ไม่คันสักครั้ง หราาาาาาา นอนมันที่พื้นนั่นแหละครับ คือถ้าเราลงรถไฟมาแล้วเดินออกมาจะมีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งตอนเช้า ๆ เขายังไม่เปิด ผมก็เลยทำการยึดครองครับ มีปลั๊กไฟด้วยก็เสียบชาร์ตแบตมือถือไปในตัว อากาศกำลังก็กำลังดีครับ พอทำให้ขนลุกขนชันได้บ้าง อากาศหนาว ๆ ก็พอจะทำให้ลืมความคันไปได้บ้าง

          หลังจากตื่นก็ไปล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน เตรียมออกไปร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ครั้งนี้ก็ไปใช้บริการร้านเดิมครับ ร้าน Bikky เนื่องจากเรามีประสบการณ์จากโดนหลอกไปแล้ว รอบนี้เราเดินออกมาจากสถานีเหมือนเดิม แล้วลุงคนเดิมก็เดินเข้ามาหาเราอีก รู้สึกเหมือนเดจาวู แต่คราวนี้บอกได้คำเดียวว่า ลุงครับไม่ได้แหลกผมหรอก

          ลุง : หนู ๆ จะไปไหนกัน
          ผม : เอ่อ จะไปห้วยแก้ว
          ลุง : มา ๆๆๆๆ
          ผม : คนละเท่าไรครับลุง
          ลุง : ไปห้วยแก้ว คนละ 100 บาท ละกัน
          ผม : โหคนละร้อยเลยเหรอ
          ลุง : 2 คน 150 บาท ปะ
          ผม : โอเค ไปครับไป เดี๋ยวผมเดินไปเรียกข้างนอกเองละกันนะ บายยยยยยยยยยยยยยยย

          เดินออกจาสถานีรถไฟมาเลี้ยวขวา เดินออกไปถนนใหญ่ จะมีสองแถววิ่งตามเส้นทางมาเรื่อย ๆ โบกเรียกได้เลยครับ จะไปไหนก็บอกได้เลย ค่าโดยสารก็ถามก่อนเลยครับ สรุป 2 คน ร้อยเดียวครับ คิดถึงลุงเมื่อกี้เลย ลุงโก่งราคามากเลยนะครับ



          พอไปถึงร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ เราเช่ามา 2 คัน วันละ 200 บาท เช่า 7 วัน 1,200 บาท เพราะได้ฟรี 1 วัน ที่มาเช่าที่นี่บอกเลยว่าเขามีทีมงานคอยดูแลเช็กสภาพรถก่อนออกจากร้านเป็นอย่างดี เราจึงกลับมาใช้บริการอีก ได้รถก็ตรงขึ้นดอยสุเทพกันเลยครับ แต่ยังไม่ทันไปถึงไหนเลยหมดสภาพ 55555 (ทำเป็นแอ็คท่าถ่ายรูปไปอย่างนั้นแหละครับ)



          ดอยแรกครับดอยสุเทพ ขับขึ้นมาทางก็ไม่ยากครับ ขับง่าย ๆ สบาย ๆ สำหรับพวกเด็กสายแว้นอย่างผม การขึ้นพระธาตุดอยสุเทพจะมีกระเช้าไว้บริการให้ขึ้นนะครับ ไม่ต้องเดินให้เมื่อย แต่เราไม่ขึ้นนะครับ เราเดินขึ้นลงด้วยบันได สนุกดีครับ (ตรงไหนวะ) ไหนจะเป้ กระเป๋ากล้องอีก หอบแหลกไปสิครับคุณผู้ชม เสื้อกันหนาวนี่แทบจะโยนทิ้งเลย แต่นึกขึ้นได้ถ้าโยนไปกลางคืนตายแน่ เลยเก็บไว้ก่อน



          ขึ้นมาบนพระธาตุดอยสุเทพก็หามุมถ่ายรูปไปเรื่อยครับ คนเยอะเหมือนกันเลยต้องพยายามหามุมที่หลบคนสักหน่อย เห็นแดดแรง ๆ นี่อากาศดีมากนะครับ กำลังเย็นสบาย แน่นอนครับเพราะผมถ่ายอยู่ในร่มไม่ได้ไปยืนตากแดด 5555



          ลูกคุณหนูอย่างผมกลัวแดดครับ ถ่ายกันอยู่แต่ในร่มนี่แหละครับ ไม่ยอมออกไปโดดแดดหรอก ไม่ใช่อะไรครับจริง ๆ คือเลนส์มันเก็บไม่หมดเลยต้องถอยกันสุด ๆ 55555

          จากลงพระธาตุดอยสุเทพเราไปเริ่มล่าเสือต่อกันที่ "ขุนช่างเคี่ยน" ระหว่างทางรถเยอะมากนะครับ เนื่องด้วยเป็นช่วงที่ดอกไม้กำลังบาน เบียดกันตกถนนเลยทีเดียวในบางช่วง แม้แต่มอเตอร์ไซค์อย่างเราก็ไปไม่ได้ครับ เพราะทางค่อนข้างแคบ ฝากสำหรับใครที่จะขับรถขึ้นไปนะครับ ควรจะเป็นรถกระบะหรือโฟร์วีลนะครับ รถเก๋งก็ไปได้ครับถ้าไม่โหลดมาก เพราะถ้าคุณขึ้นไปติดมันจะทำให้เกิดมหกรรมรถติดบนดอยได้เลย แม้แต่มอเตอร์ไซค์นะครับ ค่อย ๆ ขับนะครับไม่ต้องรีบ วันที่ผมไปมีมอเตอร์ไซค์ล้มด้วย ใจเย็น ๆ ยังไงก็ถึงครับ



          ขับขึ้นมาเรื่อย ๆ ดมฝุ่นและดมควันรถสองแถว แล้วก็มาถึงถนนสีชมพู



          หลายปีก่อนผมเคยมาที่นี่แล้ว แต่ตอนนั้นดอกไปเยอะแล้ว รอบนี้ติดตามข่าวมาอย่างดีไม่มีพลาด แต่ตรงนี้ยังไม่เท่าไรครับ ต้องไปอีก
         


          ที่นี่ถ้าใครมากับแฟนมันคงจะโรแมนติกฟุร้งฟริ้งมุ้งมิ้งน่าดู แต่สำหรับชายฉกรรจ์อย่างผมสองคนเหรอ ได้แต่ยืนมองตาปริบ ๆ



          มาเต็มมาก ๆ ถ่ายกันเพลินเลยทีเดียว แต่มันยังไม่ใช่แค่นี้ครับต้องไปอีก เข้ามาที่นี่เลยครับสำหรับคนที่มีความรักเขามักจะบอกว่าโลกนี้เป็นสีชมพู แต่สำหรับคนโสด ๆ อย่างเรา ๆ ถ้ามาที่นี่แล้วโลกมันก็เป็นสีชมพูได้โว๊ยยยยยยย







          นั่งรถไฟปวดดากมาตั้งไกลจัดไปเอาให้เลี่ยนกันไปเลย





          ถ่ายแต่ดอกพญาเสือโครงมาก ๆ มันก็เลี่ยนครับ จริง ๆ มันควรจะมีคนมาเป็นแบบในภาพด้วย ครั้นจะไปเอาไอ้น้องมาเป็นแบบก็...เอิ่มมมมมมม ถ่ายแต่ดอกไม้ต่อไปละกัน รอบหน้าต้องพกนางแบบไปด้วยละ



          จะถ่ายเจาะ ถ่ายกว้างเรียกได้ว่าอยู่กันได้เป็นวันเลยละครับ





          หลังจากเพลิดเพลินกับดอกไม้กันไปอย่างหนำใจแล้ว ก็ขับต่อขึ้นไปอีก ข้างบนก็จะเป็นโรงเรียนและหมู่บ้านแล้วครับ ไม่มีอะไรมีแต่หมาวิ่งไล่กัด



          เรากลับลงมากางเต็นท์ที่ลานกางเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติดอยปุย-สุเทพ บรรยากาศดีครับ ไม่วุ่นวายมาก ตอนกลางคืนนี่เกือบ ๆ เปลี่ยวเลยทีเดียว แม้แต่ลานกางเต็นท์ก็กำลังบานเลยครับ เอาให้เอียนกันไปเลย





          กางเต็นท์เสร็จเรียบร้อยเก็บของ อาบน้ำ หลังจากที่ดองมาเต็มที่แล้ว ก็ขับลงจากดอยไปหาข้าวกินครับ แต่มาภาคเหนือก็ต้องกินอาหารเหนือสิ แต่ไม่รู้เลยว่าร้านอยู่ตรงไหนคราวที่แล้วมาก็จำไม่ได้ สุดท้ายโทรถามรุ่นพี่ที่อยู่เชียงใหม่ได้ความว่ามาร้านนี้ครับ ต๋องเต็มโต๊ะ จัดไป 1 เซต มือนี้คือมื้อที่แพงที่สุดในทริปนี้แล้วครับ เช็กบิลมาผมจำไม่ได้นะ ไม่แน่ใจน่าจะ 300 กว่าบาท





          กินเสร็จก็โทรหาเพื่อนสามคนที่นั่งเครื่องบินมาว่าอยู่ไหนแล้ว เพื่อนคิดว่าผมอยู่บนดอยก็ขับรถขึ้นไปหา แต่ผมอยู่ในเมืองจะเจอกันไหมละนั่น ก็เลยนัดมันมาเจอกันที่นี่ครับจุดชมวิว เพื่อคุยเรื่องที่จะออกเดินทางไปดอยแม่ตะมานในวันพรุ่งนี้ เพื่อนสามคนนอนในเมือง ผมกับรุ่นน้องนอนบนดอย พรุ่งนี้นัดเจอกันที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ (แต่สุดท้ายก็ต้องไปลากมันถึงโรงแรมหึหึ) ไหน ๆ ก็แวะละครับจัดมาสักหน่อย จริง ๆ ก็ไม่หน่อยนะ จัดมาเยอะเลยแหละแต่ใช้ได้แค่ไม่กี่ใบ 5555 วิวตัวเมืองเชียงใหม่ในวันพระจันทร์แดง

          เนื่องจากวันก่อนเรานั่งรถไฟกันมาแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ไม่ค่อยได้นอนเพราะอากาศที่หนาวมาก เช้านี้เราเลยตื่นกันสายหน่อย อาหารเช้าก็ง่าย ๆ ครับ ร้านค้าที่อุทยานฯ ที่เมื่อคืนเรามาแอบชาร์ตแบตโทรศัพท์นั่นเอง ราคาก็ปรกติครับไม่แพง อากาศหนาว ๆ ได้ข้าวต้มร้อน ๆ แบบนี้บอกคำเดียวว่าฟินครับ



          กินเสร็จก็ได้เวลาเก็บของแล้วขับรถลงจากดอย



          ถ่ายไม่ขับ ขับไม่ถ่ายนะครับ แต่ Selfie ได้ จริง ๆ ไม่ควรทำนะครับอันตราย
         
         

          หลังจากลงไปเจอเพื่อนแล้วก็ออกไปเช่ามอเตอร์ไซค์กันเพื่อที่จะขับขึ้นดอยแม่ตะมาน สันป่าเกี๊ยะกัน ขอแก้เลี่ยนจากตัวหนังสือเป็นวิดีโอในการเดินทางแทนละกันนะครับ เพราะเนื่องจากขับรถแล้วผมจะไม่ค่อยถ่ายรูปครับ ใช้กล้อง Gopro ถ่ายวิดีโอแทน วิดีโอส่วนใหญ่ก็ถ่ายจากไอโฟน 5C ครับ กว่าจะหาทางเข้าเจอเราหลงกันไปหลายรอบมาก ขับไปขับมาแถวทางเข้าเลยไปเลยมาอยู่สองรอบ รอบแรกถามพนักงานเซเว่น นางบอกว่าโหพี่เลยมาไกลแล้ว ต้องย้อนกลับไปทางเดิม มันจะอยู่ทางขวามือ...มองยังไงก็ยังไม่เจอ สุดท้ายก็เจอ แต่เจอด่านนะ ด้วยความที่รีบและขี้เกียจให้ตำรวจถามมาก ขณะที่เขากำลังจะขอตรวจค้นและถามว่าจะไปไหน ผมจึงชิงถามก่อนเลย พี่ครับ ๆ ไปแม่ตะมานไปทางไหน ในที่สุดกลับกลายเป็นว่าตำรวจไม่ได้ถามอะไรเราเลยนอกจากเราที่ถามแต่ตำรวจ 555



          ทางขึ้นช่วงแรก ๆ ก็ชิล ๆ ครับไปเรื่อย ๆ รถมอเตอร์ไซค์เกียร์ธรรมดาขับขึ้นได้สบายครับ เพื่อนผมอีกสามคน เช่า KSR เกียร์ออโต้ขึ้นมาก็ขึ้นได้สบายมาก

          สำหรับดอยแม่ตะมานนี้ถ้าคุณขับรถยนต์มา รถเก๋งหรือรถตู้ต้องจอดไว้ด้านล่างนะครับ แล้วเหมารถของเจ้าหน้าที่ขึ้นมา รู้สึกจะ 1,800 บาท มั้งนะครับ แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ก็แว้นขึ้นไปเลยครับ ระยะทางขึ้นก็ประมาณยี่สิบกว่ากิโลเมตรเอง แต่ใช้เวลาขับขึ้นกันประมาณสองชั่วโมง มันไม่ยุติธรรมต่อดากพวกเราเสียเลย อย่างที่บอกครับทางค่อนข้างชันและโหด บางช่วงเป็นเหว ผมจึงไม่สามารถเก็บภาพระหว่างทางมาให้ดูได้ ต้องดูจากวิดีโอนะครับ

          ดอยที่ 3 แม่ตะมาน

          2 ชั่วโมง ต่อมาหลังจากที่กระเด้งกระดอน เด้งแล้วเด้งอีก จนไส้กับเครื่องในมันจะมาอยู่รวมกันอยู่แล้ว แม้แต่ถุงเสบียงที่ซื้อมาจากเซเว่นก็ตีลังกากลับด้านไปมาอยู่สองสามรอบ เราก็มาถึง...มันสวยอลังมาก อารมณ์ตอนนั้นอยากถ่ายรูปมาก แต่อารมณ์ขี้เกียจก็มีมากกว่าเช่นกันจึงกล้องจากไอโฟนถ่ายละกัน สนองความขี้เกียจกันไป



          ถึงแล้วขอกราบงาม ๆ เลยสักที



          แต่สุดท้ายก็ต้องเอากล้องออกมาถ่ายอยู่ดี





          หามุมถ่าย ๆ ไปเรื่อย เล็งมุมไว้สำหรับพรุ่งนี้เช้า โดยที่หารู้ไม่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะเกิดอะไรขึ้น



          เสร็จแล้วก็มากางเต็นท์ ก่อกองไฟไว้ตอนรับความหนาวสั่นที่กำลังจะเข้ามาเยือนผมและเพื่อน ๆ อย่างชนิดที่ว่าลืมไม่ลง



          ประเด็นมันก็มีอยู่ว่าผมเอาเต็นท์มาหลังเดียว แต่เพื่อนอีกสามคนไม่ได้เอาเต็นท์มา เราจึงหาซื้อกันมาระหว่างทาง เป็นเต็นท์สำหรับนอนสองคน 500 บาท แต่ที่โหดกว่านั้นคือมันไม่มีถุงนอนมาเลยทั้งสามคน มันจึงต้องนอนกันทั้งอย่างนั้น แบบไร้ถุงนอน เช้ามาถามว่าเป็นยังไงบ้างนอนได้ไหม มันตอบว่ามากรูไม่ได้นอนเลย หนาวนอนไม่หลับ 555555 ขนาดผมมีถุงนอนยังสั่นเลย

          คืนนี้เรามีกิจกรรมดูเสือและช้างป่ากันด้วยครับ ที่ดอยแม่ตะมานบนนี้ไม่มีร้านอาหาร สำหรับใครที่จะมาเที่ยวต้องนำอาหารและน้ำดื่มขึ้นมาเองนะครับ ขนอะไรขึ้นมาก็ต้องขนกลับลงไปทิ้งด้านล่างด้วยนะครับ แต่มีบ้านพักไว้คอยบริการครับ วิวดีมากเลยทีเดียว ตื่นเช้ามาก็จะถ่ายรูปเต็มที่หลังจากที่เมื่อคืนหามุมไว้แล้ว แต่สุดท้ายก็เงิบครับพี่น้อง อาเจนมาเองเลย เข้าใจเลยครับคำว่าฟรุ้งฟริ้งมันเป็นยังไง มองไปทางไหนก็ขาวไปหมด หมอกลงจัดมาก





   


          เมื่อเรารอแล้วรอเล่าแดดก็ยังไม่ออก แสงก็ยังไม่มา เราจึงต้องทำพิธีขอแดดครับ แต่เหมือนว่าเครื่องทำพิธีมันมีขนาดเล็กไปพระอาทิตย์เลยมองไม่เห็น







          เมื่อเรารอกันอยู่นานแดดก็ยังไม่มา บวกกับหิวด้วยเพราะเริ่มสายแล้ว คือพวกเราไม่ได้เอาอาหารอะไรขึ้นมาเลยนอกจากขนมปัง แยม และเบียร์ (ที่จัดเต็มมาก) ก็เลยเก็บของเตรียมลงแต่ก่อนลงกว่าจะขึ้นมาได้ เหนื่อยแทบตาย ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ดูเป็นที่ระทึกหน่อยว่ามาถึงแล้วอาเจนตินา เอ๊ย...แม่ตะมาน



          เรื่องหลงเป็นเรื่องธรรมชาติ อย่างที่บอกแผนที่ผมไม่มี จะใช้วิธีอ่านป้ายเอา หรือไม่ก็เปิดแผนที่ในโทรศัพท์ดูว่าเราหลงไปถึงไหนแล้ว มาจากอำเภอเชียงดาวกะว่าจะไปกินข้าวกันที่ร้านขาหมูชื่อดังที่เชียงดาว ขับมาเรื่อย ๆ ยังไม่เห็นแต่วี่แววขนหมู ขับตรงมาเรื่อย ๆ ก็ไม่เจอ จนมาเจอสามแยก (ที่บอกว่าเราเลยมาไกลแล้ว) จะมีป้ายบอกทางที่เขียนว่าไปอ่างขาง แต่ ๆๆๆ ป้ายมีทั้งบอกเลี้ยวซ้ายไปอ่างขางหรือตรงไปก็อ่างขาง เอาละไงแยกวัดใจอีกละ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียฟอร์มผมจึงเลือกที่จะพาเพื่อนร่วมทริปเลี้ยวซ้าย แล้วไปหาอะไรกิน ไม่กงไม่กินมันละขาหมู เจออะไรก็แหลกหมดละ จนสุดท้ายไปเจอร้านขายน้ำเงี้ยวก็แวะกินกันละก็แยกย้าย



          เหมือนมาถูกทาง ผมใช้เส้นทางมาจากถนนหมายเลข 107 แล้วมาเลี้ยวซ้ายเข้าเส้น 1178 แล้วไปเลี้ยวขวาที่แยกบ้านอรุโณทัย ถนนทางที่จะขับขึ้นดอยนั้นโล่งมาก ถึงขนาดจอดรถตั้งขาตั้งถ่ายรูปกันได้เลย แต่จริง ๆ ก็ต้องรีบจอดรีบถ่ายแล้วเข็นหลบเพราะจะมีรถวิ่งอยู่บ้าง



          จะไม่ชันเหมือนทางไชยปาการ ขับสบาย ๆ



          แล้วที่สุดเราก็มายังไม่ถึง เจอดอกพญาเสือโคร่งอีกแล้ว แน่นอนครับจอดสิครับของสวย ๆ แบบนี้จะช้าอยู่ใย ถ่ายมันทั้งชุดนี้แหละ ถามว่าลำบากไหม ตอบเลยว่ามากกกกกกกกกกก ยังกับเล่นยิมนาสติก ยืนได้ไม่ถึง 5 วินาที ล่วง...ภาพสวยผมมีไม่มากแต่ท่ายากผมเยอะ 55555





          ทางเดินถนนคนอื่นสร้าง ทางเดินชีวิตเราสร้างเอง แต่ต้นไม้นี้ผมก็ไม่รู้ว่าใครสร้างเหมือนกัน ^__^



          หลังจากนั้นเราก็ออกแว้นกันต่อ ขับไปเรื่อย ๆ มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ในค่ายทหารแล้ว ใช่ครับค่ายทหาร เพราะว่าเรามากางเต็นท์นอนกันที่ฐานปฏิบัติการดอยอ่างขางหรือค่ายทหารนั่นเอง ที่สำคัญฟรีครับ เขาจะมีตู้ไว้ให้ใส่เงินช่วยค่าน้ำและค่าไฟมากกว่า แล้วแต่เราจะใส่เท่าไรก็ได้ แถมพี่ ๆ ทหารยังมีปลั๊กไฟไว้ให้ชาร์ตแบตอีกด้วยครับ มีห้องน้ำให้อาบน้ำด้วยนะครับ แต่ผมไม่เห็นใครอาบเลย ขนาดเดินไปแค่ล้างหน้ายังสะดุ้งเลย...เย็นมาก



          กางเต็นท์เรียบร้อยก็เดินไปถ่ายรูป ในรูปจะเห็นทางที่เราขับขึ้นมาครับที่บอกว่าไม่ค่อยชันผมล้อเล่นนะ จริง ๆ ก็ชันแหละ แต่มันชันน้อยกว่าทางไชยปราการ





          เรื่องของกินเหรอครับ ไม่สนใจหรอกชั่วโมงนี้ขอถ่ายรูปก่อนละกันนะ
         


          ในภาพด้านขวานั่นคือจุดชมวิวที่ผมจะไปในวันพรุ่งนี้เช้าครับ เจอวิวแบบนี้ถ่ายกันลืมหิวเลยครับ



          ธรรมชาติคือผู้สร้างศิลปะ มนุษย์คือผู้ต่อยอดความงามจากศิลปะของธรรมชาติ



          กำลังจะเดินกลับเต็นท์เจอฟ้าระเบิดใส่ตกใจเลยกดมาสองใบเอง



          อยู่ในค่ายทหารท่าถ่ายรูปมันก็ต้องแนว ๆ นั่นแหละ



          หลังจากวิ่งไปวิ่งมาเพื่อถ่ายรูป ก็ได้เวลากินมื้อเย็นกันละ กะว่าจะกินอาหารตามสั่งง่าย ๆ มื้อนี้กินง่ายอยู่ง่าย เบา ๆ ครับเอาแค่พออิ่ม หมูกระทะบนลานจอด ฮ. บริเวณนั้นจะมีร้านขายหมูกระทะอยู่ 2 ร้าน น้องผมมันก็เลยไปจัดมา 1 เตา แต่ที่แสบกว่านั้นคือว่ามันสั่งเขาแค่ชุดเดียว และมีรถเข้ามาขายผัก ขายหมู มันเลยไปจัดหมูมากิโลหนึ่ง เอาอีกแล้ว...เอาอีกแล้ว หมูกิโลหนึ่งอีกแล้ว แต่ต้องขอบคุณมันนะที่ไปหามาเพราะผมมัวแต่ถ่ายรูปจนลืมเรื่องของกินไปเลย อีกอย่างเตานี่ก็ใช้แก้หนาวได้เป็นอย่างดี เพราะคืนนั้นมันเป็นอะไรที่บอกได้คำเดียวว่าอ่างขางหนาวกว่าลำปางมาก ลมพัดมาทีหนึ่งก็ร้องซี้ดกันทีหนึ่ง โคตรหนาว



          ดอยที่ 4 ดอยอ่างขาง

          ตีสี่ครึ่งตั้งนาฬิกาปลุกไว้เพราะว่าจะออกไปถ่ายดาว เปิดเต็นท์ออกมาจะไปล้างหน้าแปรงฟัน ความรู้สึกแรกที่รับรู้ได้คือหนาวโว๊ยยยยย ไม่อยากออกจากเต็นท์เลยเหอะให้ตาย แต่ก็ลากตัวเองออกจากเต็นท์มาได้ เดินไปถ่ายรูปนี้คนเดียว คืออยู่ท่ามกลางลมที่แรง มันพัดมาพร้อมกับอากาศหนาว เสื้อห้าตัวที่ใส่อยู่ด้านใน เสื้ออีกตัวที่ผมเอามาทำผ้าพันคอและเสื้อกันหนาวแทบจะเอาไม่อยู่ ยืนอยู่คนเดียวจนเกือบสว่างถึงค่อยมีคนออกมา จุดนั้นบอกได้คำเดียวว่าบ้ามาก





          อรุณสวัสดิ์ดอยอ่างขาง หลังจากที่ยืนทรมานสังขารอยู่คนเดียวอยู่ชั่วโมงกว่า พระอาทิตย์ก็มาช่วยทำให้ความหนาวนั้นคลายลงไปได้บ้าง หรือว่าจริง ๆ ผมอาจจะด้านชาไปแล้ว อุณหภูมิเช้านั้นวัดได้ที่ 4 องศา หนาวจนแสบจมูก



          ช่วงใกล้เช้าคนก็เริ่มออกมากัน



          พอเริ่มสายหน่อยคนก็ไปหมดละ ได้เวลาถ่ายรูปละ 555555



          เสร็จจากตรงนั้นก็ขับรถมาต่อกันที่นี่เลย มาดูลา ลาใช่...ไร่ชา (ถ้าไม่ฮาก็ขออภัยด้วย) มาสายแล้วแดดแรง เริ่มไม่ค่อยสวยละ



          ตามสเต็ปครับ ไร่ชาแล้วก็ต้องที่นี่เลยสถานที่ที่ใครก็มา...ไร่สตรอว์ (เบอร์รี)







          ทางออกมาจากไร่สตรอว์เบอร์รีมองไปทางซ้ายก็เจอกับหมู่บ้านนี้ ผมไม่รู้จริง ๆ ครับว่าที่นี่เรียกว่าหมู่บ้านอะไร ข้อดีของการขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวครับ เวลาเจอวิวดี ๆ ตรงไหนเมื่อไหร่มันจะจอดได้ทันทีแบบไม่ต้องรีรอ แต่ก็บอกเพื่อนร่วมทางสักนิดนะครับ เพราะผมกับเพื่อนนี่ชมกันประจำครับ เรื่องการจอดรถถ่ายรูป

          ไอ้สา.....จะจอดก็จอดห่านเอ๊ย จะชนตูด...ึงหลายทีละ กรูก็มองแต่วิวหันมาอีกทีไฟท้าย... ึงอยู่ข้างหน้าละ

          กลับออกมาจากไร่สตรอว์เบอร์รีเราก็กลับไปที่ฐานปฏิบัติการเพื่อไปเก็บเต็นท์และออกเดินทางต่อไปยังโป่งน้ำร้อนฝาง

          เหตุผลที่เรามาที่โป่งน้ำพุร้อนฝางก็เพื่อทำการติดต่อเสียค่าธรรมเนียมในการขึ้นดอยผ้าห่มปก การขึ้นดอยผ้าห่มปกนั้นถ้าเราอ่านข้อมูลทั่วไปจะมีรถของทางเจ้าหน้าที่ไว้คอยบริการ ถ้าคุณมาโดยรถเก๋ง รถตู้ ก็ต้องจอดรถไว้ที่นี่แล้วใช้บริการรถจากที่นี่ขึ้นไป ค่าบริการไป-กลับ 1,800 บาท เราเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่

          ผม : พี่ครับจะขึ้นไปดอยผ้าห่มปกครับ
          เจ้าหน้าที่ : ไปกี่คนค่ะ แล้วขับรถอะไรมา ถ้าจะขึ้นต้องจ้างรถขึ้นไป
          ผม : 2 คน ครับ เราจะขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปกันครับ
          เจ้าหน้าที่ : เงียบไปสองวินาทีก่อนจะขำก๊ากดังลั่นออฟฟิศ
          เจ้าหน้าที่ : น้องขับรถมอเตอร์ไซค์อะไรมา
          ผม : ซูซูกิโชกุนครับ

          เจ้าหน้าที่ขำอีกรอบก่อนจะไปเรียกพี่ผู้ชายอีกคนมาคุยด้วย ตอนนั้นเราสองคนเหมือนกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้ชายก็เข้ามาอธิบายว่าทางขึ้นไปลานกางเต็นท์ด้านบนนั้นทางค่อยข้างชัน และเป็นทางลูกรังจะขับขึ้นไปยากนะ นั่งรถขึ้นไปดีกว่า ผมเลยตอบกลับไปว่าเราเพิ่งขับขึ้นไปดอยแม่ตะมานมาเมื่อวันก่อน นี่ก็เพิ่งลงมาจากดอยอ่างขาง ผมว่าทางที่นี่ไม่น่าจะทำร้ายดากผมได้เท่าทางขึ้นที่แม่ตะมานอีกแล้ว

          เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ฟังดังนั้นจึงเงียบไปกับความบ้าพลังของเราก็ปล่อยให้เราขึ้นไปจ่ายค่าธรรมเนียม เรียบร้อยแล้วไปหาข้าวกินและก็ขับออกไปขึ้นสูดอยผ้าห่มปกกัน



          ออกจากโป่งน้ำพุร้อนออกมาก็เลี้ยวซ้ายเพื่อจะไปเข้าทางขึ้นดอยผ้าห่มปก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นประจำก็คือหลงครับ ขนาดถามเจ้าหน้าที่มาเรียบร้อยละนะ ก็ยังเลยทางเข้า ต้องขับกลับไปกลับมาอยู่สองรอบ จนในที่สุดก็มาถึงด่านตรวจ 555 นี่คือจุดเริ่มต้นครับ เมื่อเราชำระเงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มาเรียบร้อยแล้ว พอมาถึงตรงนี้ก็แค่โชว์ใบเสร็จให้เจ้าหน้าที่ดูเท่านั้นครับ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ พี่ครับช่วยถ่ายรูปให้หน่อย ฮา ๆๆๆๆ พี่เขาใจดีครับ ถ่ายเสร็จก็ลุยไปกันต่อ ทางขึ้นไม่ได้ถ่ายมานะครับ เพราะต้องขับรถ จะจอดถ่ายก็ไม่สามารถกลัวรถมันไหล



          ขับขึ้นมาเรื่อย ๆ ครับไม่เท่าไรแค่เกือบสองชั่วโมงเอง 5555 ก็มาถึงละครับ ลานกางเต็นท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ตอนที่ขึ้นไปถึงคนยังค่อนข้างน้อยครับ

          กิจวัตรประจำทริปของเราก็ไม่มีอะไรมากครับนอกจากกางเต็นท์และเก็บเต็นท์ มาถึงก็กางเต็นท์ให้เรียบร้อย ที่ลานกางเต็นท์จะมีเต็นท์ของอุทยานฯ ถุงนอน หมอน ผ้าห่มไว้บริการนะครับ และมีบ้านพักของอุทยานฯ ด้วย มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำด้วย รายละเอียดตามลิงก์เลยครับ

          http://www.dnp.go.th/parkreserve/forprint.asp?npid=160&lg=1

          *แต่บนนี้ไม่มีร้านค้านะครับ จริง ๆ ก็มีอยู่ร้านหนึ่งแต่เขาไม่ค่อยเปิดหรอกครับ ถ้าให้ดีเตรียมขึ้นมาเองดีที่สุดครับ



          กางเต็นท์เสร็จก็ไปอาบน้ำและพักผ่อนตามอัธยาศัย น้ำที่นี่เย็นดีครับ เรียกว่าโคตรเย็นจะดีกว่า อาบน้ำตอนประมาณเวลาบ่ายสามกว่า ๆ ครั้งแรกที่เปิดน้ำจากฝักบัว ถ้าใครอยู่แถวนั้นตอนนั้นจะได้ยินเสียงเหมือนควายออกลูกอยู่ในห้องน้ำ บอกได้คำเดียวว่าน้ำเย็นมากกกกกกก เหมือนกับว่ามีเครื่องทำน้ำเย็นเลย เย็นกว่า ice bucket หลายเท่า แทบช็อกครับ รีบ ๆ อาบให้เสร็จเร็ว ๆ เพราะมันเย็นมากจริง ๆ แต่พออาบเสร็จก็สดชื่นมากครับ สบายตัวเลย ชาาาาาาาาา

          จากในรูปป้ายบอกทางคือซ้ายไปจุดชมวิว ขวาคือทางขึ้นสู่ยอดดอย จริง ๆ ผมชวนน้องให้ขึ้นยอดดอยกันในเย็นวันนั้นเลย เราก็เดินขึ้นไปกันแต่ไอ้น้องมันบอกว่าลืมไฟฉายขอกลับลงไปเอาให้ผมรอยู่แถว ๆ นี้ก่อน ด้วยความที่ขี้เกียจรออยู่เฉย ๆ จึงเดินนำไปก่อนนิดหนึ่งกะว่าไปเดินเล่นสำรวจทาง ก็เดินไปได้นิดหน่อย ผมก็นั่งรออยู่นานพอสมควรมันก็ยังไม่มา คิดในใจมันไปเอาไฟฉายที่อ่างเก็บน้ำข้างล่างหรือยังไงทำไมนานจัง ผมเลยตัดสินใจเดินกลับมาที่เต็นท์จากจุดนี้เดินลงไปเต็นท์ก็เดินเหนื่อยพอได้เลยครับ พอไปถึงเต็นท์ถามพี่ที่อยู่เต็นท์ข้าง ๆ พี่เห็นน้องผมไหมครับ อ้อ...กลับมานานนี่ เห็นนอนอยู่ในเต็นท์ พอผมเปิดเต็นท์เข้าไปเท่านั้นแหละ ภาพแรกที่เห็นคือมันนอนเล่นโทรศัพท์ ไอแส.... ให้กรูรอตั้งนาน มันย้อนกลับมาคำหนึ่งว่า ก็กรูบอกให้รอไม่รอเผือกเดินไปก่อนกรูเดินไปไม่เจอก็เลยเดินกลับมาเต็นท์ อืมมมมมกรูผิดกรูผิด



          พอได้เวลาแดดร่มลมตกก็ถึงเวลาออกไปหาไก่กินในป่า เอ๊ยไม่ใช่ ไปจุดชมวิวดูพระอาทิตย์ตกดิน กิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์สำหรับคนที่มาเป็นคู่ แต่เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความเหงาให้กับคนโสดและไม่มีคู่ 5555 ในรูปนี่ไม่ใช่ยอดดอยนะครับ ยอดดอยต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกสองชั่วโมงครับ พรุ่งนี้ตี 3 ครึ่งเราจะไปเป็นติ่งกับกรุ๊ปอื่นเพื่อเดินขึ้น



          ข้อห้ามสำหรับการดูพระอาทิตย์ตกบนดอยแบบนี้ คือ ห้ามดูคนเดียว มันจะทำให้เหงาถึงเหงามาก และอาจจะเหงามากที่สุด ถ้าคุณมีภูมิต้านทานความเหงาต่ำ





          แต่สำหรับพวกต่อมเหงาเริ่มจะตายด้านอย่างผมไม่รู้สึกหรอก ฮืออออออออออออออออออออออออออออ ก็ถ้าไม่เห็นอะไรแบบนี้มันจะรู้สึกได้ยังไง



          พระอาทิตย์ตกแล้วสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกต เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วทุกคนจะแยกย้ายทันที เหมือนอยู่ในโรงภาพยนตร์แล้วหนังจบแล้วลุกทันที...แบบนั้นเลย ทุกคนแยกย้ายกลับเต็นท์และที่พัก รวมถึงไอ้น้องผมด้วย แต่ผมว่าหลังพระอาทิตย์ตกเนี่ยมันนาทีทองเลยนะสำหรับคนชอบถ่ายรูป เพราะฟ้ามันจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่เคยซ้ำกันแม้แต่วันเดียว แต่วันนั้นอากาศไม่ค่อยดีฟ้าไม่ค่อยใส หมอกเยอะ ก็เลยต้องหันมาถ่ายตัวเองแทน ตั้งกล้องบนขาตั้ง ปรับเป็นโหมดนับเวลาถ่าย วิ่งไปวิ่งมาอยู่หลายรอบ ยังไม่ได้ภาพที่ถูกใจ เลยใช้แฟลชแยกจากตัวกล้องแล้ววางไว้ที่พื้น จึงได้ออกมาเป็นภาพนี้ครับ กว่าจะได้หอบแหลกเลย



          หลังจากลงมาแล้วก็ยังมาถ่ายรูปที่เต็นท์ต่อ ดาวเต็มฟ้าเลยครับ วิวดีบรรยากาศดี อากาศก็หนาวดี ขาดก็อย่างเดียว...ขาดเธอ ฮิ้วววววววววว สังเกตที่หน้าเต็นท์ผมจะมีเตาอยู่ เราเช่ามาจากเจ้าหน้าที่ด้านบนนี่แหละครับ 50 บาท พร้อมถ่าน บ้านตรงกลางในภาพครับ คุณชาคริตครับ เมนูที่เชฟจะทำในวันนี้ครับ คือ มาม่ากับหมูที่เหลือมาจากดอยอ่างขางครับ 55555 มีแค่นั้นจริง ๆ



          ตีสามครึ่งเจ้าหน้าที่นำทางก็จะเดินมาปลุกนักท่องเที่ยวตามเต็นท์ เพื่อล้างหน้า แคะขี้ตา แปรงฟัน เตรียมตัวเดินขึ้นยอดดอย ค่าบริการไกด์นำทาง 300 บาท ต่อกลุ่ม 8 คน ควรเตรียมน้ำไปด้วย สำหรับคนที่จะเดินขึ้นยอดดอยหรือคนที่กำลังจะมาพิชิตยอดดอยที่นี่ผมแนะนำให้ฟิตร่างกายมาบ้างนะครับ เพราะทางขึ้นช่วงแรก ๆ จะค่อนข้างชัน ถึงกับมีป้ายเขียนไว้เลยว่าม่อนวัดใจ ใครไหวก็ไปต่อใครไม่ไหวก็ต้องกลับลงไปรอที่เต็นท์ครับ ระยะทางไปกลับก็ 3-4 ชั่วโมง แล้วแต่สปีดของแต่ละคน เราสองคนใช้เวลามากกว่านั้น เช้าวันนั้นฟ้าไม่เปิดอีกแล้วครับ แถมลมยังแรงมาก ไม่สามารถยืนต้านลมได้ต้องหามุมนั่งหลบลม ไม่ไหวครับมันหนาวมากจริง ๆ หมอกขาวฟุ้งไปหมด ใช้เวลาประมาณเกือบสองชั่วโมงก็ขึ้นมาถึงยอดดอยผ้าห่มปก



          หมอกเยอะมาก เยอะมากจนขาวฟุ้งไปหมด จนทำให้คิดว่าเมื่อกี้ผมเดินตกเขาตายหรือนี่ มันเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์เลย



          หันซ้ายหันขวาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอก ที่ลมพัดมากระแทกหน้าอยู่เป็นระยะ มันเยอะมากจนทำให้พระอาทิตย์กลายเป็นสีขาวไปเลย



          แต่ก็ทำให้ได้เห็นท้องฟ้าสีสันแปลกตาดี ทำให้นึกถึงหนังเรื่องแวมไพร์ ทไวไลท์เลย The breaking Dawn



   

   


          เมื่อเริ่มสายคนนำทางก็จะเรียกให้นักท่องเที่ยวกลับลงไปด้านล่าง แต่เรายังดื้อรั้นที่จะอยู่รอต่อ โดยหวังว่าอีกสักพักฟ้าคงเปิด เราจึงบอกไกด์ไปว่าเดี๋ยวเดินลงไปเองเพราะทางเดินลงจำได้แล้ว ทางเดินมันชัดครับ เดินได้ไม่ยาก อาจจะมีอะไรให้ได้ดูบ้าง แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ครับ แม้จะไม่ได้มีหมอกด้านล่างมากนักเนื่องจากลมที่แรง แต่เราก็อยู่ถ่ายรูปต่อกันอยู่นานมาก พอเริ่มสายแดดเริ่มแรงเท่านั้นแหละ สนุกสนานกันเลยทีนี้





          ทะเลหมอกกรูอยู่ไหน



          ปกติเราไม่ชอบถ่ายรูปกับป้ายสักเท่าไร แต่ที่นี่ต้องขอซะหน่อย...จัดไป



          ถ้าเราถอดใจลงไปพร้อมไกด์ตั้งแต่แรกเราก็จะไม่ได้ภาพอะไรแบบนี้เลย แต่ขณะที่ผมกำลังถ่ายรูปตัวเอง ในเงาสายรุ้งอย่างเมามันส์ จะหันไปเรียกร้องมันให้มาดู พอละสายตาออกจากช่องมองภาพหันไปก็เห็นมันถ่ายแบบนี้อยู่ข้าง ๆ เหมือนกัน



          ถ่ายกันมันส์มาก พอสายมาก ๆ แดดเริ่มแรงเราจึงเดินลงกัน รูปนี้ถ่ายตอนเดินลงนะครับ ตอนเดินลงนี่สบายครับ ลงอย่างเดียว แต่ถ้าเร็วเกินก็อาจจะลงไปกลิ้งคลุกดินได้ ผมเองก็ดริฟไปอยู่หลายรอบเหมือนกัน





          ขณะเดินลงก็ถ่ายต้นไม้ ใบไม้ไปเรื่อย ผมไม่ชอบที่จะรีบ ๆ เดินให้ถึงจุดหมายเร็ว ๆ ชอบเดินดูนู่นนี่นั่นโน่นไปเรื่อย แนะนำตอนขาลงถ้าคุณเดินลงมาเงียบ ๆ ไม่เสียงดัง จะได้เห็นนกเยอะมาก นั่งฟังเสียงร้องอยู่ในป่าแบบนี้มันเพลินและมีความสุขยิ่งกว่าการที่เห็นมันอยู่ในกรงเสียอีก แต่จริง ๆ แล้วคือผมหาเรื่องพักเหนื่อย 55555









          ตอนขึ้นหนะขึ้นพร้อมกัน ตอนลงผมกับน้องตัวใครตัวมันจริง ๆ นะ เพราะต่างคนก็จะหยุดถ่ายรูปกันนานมาก หลังจากเดินลงมาถึงลานกางเต็นท์ก็ได้เวลามื้อเช้าครับ มื้อนี้กินหรูครับ กินแบบชาวตะวันตกกันเลยทีเดียว ตามภาพครับ ขนมปังปิ้งกับแยมที่เหลือ 55555



          กินเสร็จก็อาบน้ำเก็บของเตรียมลงด้านล่างและออกเดินทางต่อ เราออกจากลานกางเต็นท์กันประมาณเกือบบ่ายโมง แต่หมอกยังมีมาเป็นระยะครับ นี่มันบ่ายแล้วนะ





          ออกเดินทางกันต่อครับ ขับไปเรื่อยครับ ไปทางเดียวกับที่จะไปดอยแม่สลองครับ แต่เราไม่ได้แวะครับ เพราะเป้าหมายต่อไปของเรา คือ ดอยผาตั้ง เชียงราย เจอป้ายนี้บอกระยะทาง 60 กว่ากิโลเมตรเอง จิ๊บ ๆ (หราาาาาาาาาาาาา) ขับไปได้สักพักเริ่มหิว ใจอยากกินน้ำเงี้ยวจึงขับมองหาร้านกันมาเรื่อย ๆ จนมาเจอร้านนี้ครับ



          เป็นร้านเล็ก ๆ เงียบไม่ค่อยมีคน แต่น้ำเงี้ยวอร่อยมาก ป้าแกให้เยอะมาก ราคาก็ 30 บาทเองครับ จานเดียวอิ่มเลย แต่ผมก็ต่อขนมจีนน้ำยาไปอีกจานนะ 555 และอยากจะบอกว่าป้าแกใจดีมากนะ ขอชาร์จแบตโทรศัพท์ป้าแกก็ให้ชาร์จได้เลย บอกตามสบายเลยนะเดี๋ยวป้าจะออกไปข้างนอก นั่งเล่นนั่งพักกันได้เลยตามสบาย เอาอะไรก็บอกลุงนะ โห...ป้าใจดีจริง ๆ แต่เราอยู่กันไม่นานหรอกครับหนทางอีกยาวไกล ต้องรีบทำเวลา



          ขับมาหลงเรื่อย ๆ ครับ จนมารู้ตัวอีกทีก็มาถึงที่นี่แล้วครับ ริมแม่น้ำโขง ฝั่งตรงข้ามคือประเทศลาวแล้ว มายังไงวะเนี่ย...น้องมันถาม แต่เมื่อหลงมาแล้วเจอแบบนี้ก็เบรกกันตัวโก่งฝุ่นตลบเลย จอดรถถ่ายรูป แต่ถ้าไม่หลงมาก็คงไม่ได้เจอวิวแบบนี้ จริง ๆ ถ้าใครจะเที่ยวแบบนี้แล้วมากันหลายคน ไม่อยากขับมอเตอร์ไซค์จะเช่ารถขับก็ได้ครับ แต่เช่ารถที่ลุย ๆ หน่อย





          คลำทางมาเรื่อย ๆ จนไปโผล่อีกทีก็นู่นครับ...เชียงของ ถ้าเกิดใครที่ไปบริเวณนั้นสัญญาณโทรศัพท์มันจะเปลี่ยนเองนะครับ ไปใช้สัญญาณของลาว ระวังกันด้วย



          ขณะนั้นทุ่มกว่าแล้วเรายังอยู่เชียงของกันอยู่เลย ตกลงกันว่าจะเอายังไง จะพักที่เชียงของหรือจะไปต่อ แต่ตอนนั้นใจอยากไปต่อเพราะไม่อยากเสียตังค์ค่าที่พัก เพราะเอาจริง ๆ คือตังค์หมดแล้ว 5555 ถึงขนาดต้องโทรไปหาเพื่อนให้มันโอนตังค์มาให้ก่อน เลยออกเดินทางต่อขับไปเรื่อย ๆ เพราะเปิดแผนที่ดูแค่ 40 กว่ากิโลเมตรเอง จึงขับไปต่อ ระหว่างทางก็หาปั๊มเติมน้ำมันแต่ไม่มีเลย จนไปตู้เติมน้ำมันหน้าบ้านหลังหนึ่งตอนนั้นก็เกือบสามทุ่มแล้ว เติมไป 40 บาท เพราะคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปหาปั๊มข้างหน้าเติม เพราะตู้น้ำมันมันแพง เจ้าของบ้านถามว่าจะไปไหนกัน ไปดอยผาตั้งครับ แล้วเติมแค่ 40 บาท จะพอเหรอ เขาบอกว่ามันอีกไกลเลยนะกว่าจะถึง เราสองคนหันมองหน้ากันแบบไม่ต้องนัดหมาย เหมือนรู้แล้วว่าทางข้างหน้าเราต้องไปหาอะไร

          สุดท้ายขับไปได้อีกไม่เท่าไรก็ไปเจอโรงแรมแถวเวียงแก่นในราคา 300 บาท ผมเลี้ยวเข้าไปอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีรูปห้องรูปอะไรเลยนะครับ ขออภัยด้วย ชื่อโรงแรมก็ลืม มันเหนื่อยและล้าจริง ๆ พออาบน้ำเสร็จก็สลบเลย เหมือนจะเป็นไข้ด้วย เพราะเราขับรถฝ่าความหนาวกันมาหลายวันมาก ยิ่งคืนนี้มันหนาวมาก จนถ้าโดนตบหน้ามันคงไม่เจ็บเพราะชาไปแล้ว ตื่นเช้ามามีกาแฟ โอวัลติน และข้าวเหนียวสังขยาให้ด้วยเป็นอาหารเช้า



          ออกเดินทางไปดอยผาตั้งกันต่อครับ เส้นทางก็จะประมาณนี้ ขับไปได้เรื่อย ๆ ไม่ยาก



          กิจวัตรประจำวันเปิด แผนที่ดูเส้นทางและแวะถ่ายรูป



          เมื่อจอมปลวกต้องมาเจอกับอีปลวก 555555



          ขับไปขับมามาถนนสิงคโปร์เฉย ถ้ามาเจอป้ายนี้แสดว่ามาถูกทางแล้ว



          ในที่สุดก็มาถึงสักที บริเวณนี้จะเป็นที่จอดรถและลานกางเต็นท์ วันนั้นไม่มีคนเลยครับ แต่เราไม่ได้กางตรงนี้นะ ผมไปกางอีกที่หนึ่ง



          ดอยที่ 6 ดอยผาตั้ง กางเต็นท์เสร็จเรียบร้อยก็เดินขึ้นมาสำรวจเส้นทางกัน



          จากเนิน 102 มองย้อนกลับจากทางที่เดินขึ้น เห็นเต็นท์ผมอยู่ไกล ๆ นู่น เป็นจุกส้ม ๆ เล็ก ๆ



   


          กิจกรรมก็เหมือนเดิมครับ หามุมถ่ายรูปเรื่อย ๆ เดินไปเดินมาหอบใช้ได้เลย



   


          รอแสงเย็นก็ถ่ายตัวเองเล่นละกัน น้องไม่อยู่ไม่รู้มันหายไปไหน ต้องถ่ายเอง ตั้งกล้องบนขาตั้ง ตั้งเวลาถ่ายและวิ่งไปวิ่งมาเหมือนเดิม 5555



          พระอาทิตย์ใกล้ตกก็วิ่งไปวิ่งมาถ่ายรูปอย่างเมามันส์ วิ่งซ้ายวิ่งขวาอยู่คนเดียว





          พวกบ้าถ่ายรูปอย่างผมฟ้ามืดแล้วก็ไม่ลงง่าย ๆ หรอกครับ ถ่ายมันไปเรื่อย ๆ



          ผมอยู่บนนั้นจนกระทั่งน้องมันเดินตามขึ้นมาแป๊บหนึ่ง พอมืดมันก็เดินลงไปเนื่องจากมันไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวขึ้นมาด้วย แต่ผมจัดเต็มมาแล้ว ยาวไปถ่ายดาวต่อไปเลย ครั้งแรกเลยครับที่นั่งอยู่กลางเขาคนเดียวท่ามกลางอากาศที่หนาวขึ้นเรื่อย ๆ แล้วถ่ายดาว แต่ผมไม่มีรีโมทสำหรับลั่นชัตเตอร์ ผมจึงต้องนั่งกดชัตเตอร์อยู่อย่างนั้นเป็นเวลาชั่วโมงกว่า จะขยับไปไหนก็ไม่ได้ ปวดฉี่ก็ห้ามไป จริง ๆ ก็ไปได้แต่ที่ไม่ไปเพราะกลัวผี 55555 โชคดีที่บนนั้นมีสัญญาณ กิจกรรมจึงเกิดแชทครับ แชทกลางเขามืด สุดท้ายก็สู้กับความหนาวและความหิวไม่ไหว (โทรลงไปหาน้องข้างล่างร้านป้าก็ปิดหมดแล้ว) สุดท้ายต้องยอมลง เลยได้มาแค่นี้ครับ ไว้ไปแก้ตัวใหม่



          พอถ่ายเสร็จจะเก็บกล้อง เปิดไฟฉายจากมือถือก็ต้องสะดุ้งทันที กล้องเปียกครับ แฉะเลย รีบเอาผ้าเช็ด เก็บกล้องและรีบลงไปที่จุดกางเต็นท์ เรียกได้ว่าวิ่งลงเลยทีเดียว ตอนนั้นถ้าเกิดมีใครโผล่มาบอกได้คำเดียวเลยว่าผมเอาขาตั้งกล้องหวดแน่ พอลงมาถึงเต็นท์ถึงได้รู้ว่าคืนนั้นนอกจากป้าที่ร้านข้าวและคนแถวนั้นแล้ว มีพวกผม 2 คน ที่เป็นนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์นอน สุดยอดไปเลย...หลอนนนนนนน



          น้องมันไปขอยืมเตาจากร้านป้ามาผิงไฟแก้หนาว ซึ่งวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายของเตาอันนั้นด้วยเช่นกัน เตามันเก่ามาก น้องผมมันบอกว่าเตาไม่ค่อยดีนะ อย่าขยับเยอะ แต่ด้วยความที่ลืมเผลอไปขยับเตาเท่านั้นแหละ เตาป้าได้หมดสภาพความเป็นเตาทันที ตอนเช้าก็ลงไปสารภาพบาปกับป้า แกก็ใจดีนะไม่คิดเงิน ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่ามันเก่าแล้วไม่เป็นไรหรอก เจอคนใจดีอีกแล้ว รอบหน้าไปจะซื้อไปคืนนะครับป้า และนี่คือภาพสุดท้ายของเตาก่อนที่จะหลุดเป็นชิ้น ๆ



          อยู่กันได้ไม่นานก็ทนความหนาวไม่ไหวจึงเข้านอน แต่ในเต็นท์ก็หนาวมากเช่นกัน จึงนอนกันแบบจัดเต็มไปเลย



          ตี 5 เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น พร้อมกับความหนาวเหน็บ หนาวแบบไม่อยากจะออกจากเต็นท์เลย ผมหันไปปลุกรุ่นน้อง เห้ยตื่นขึ้นไปข้างบนไหม ไม่ไปขี้เกียจไป ไปก่อนเลย นั่นเดินขึ้นคนเดียวอีกแล้วสินะ ก็เดินฝ่าความหนาวขึ้นมาเรื่อย ๆ ครับ จนมาถึงเนิน 103 เนินเมื่อวานขึ้นแค่เนิน 102



          ลมแรงมาก แรงถึงขนาดปากผมแตกเลย แต่วิวข้างหน้านั้นมันก็สวยเหลือเกิน สวัสดียามเช้าที่ดอยผาตั้ง วันแรกของทริปนี้เลยที่เจอทะเลหมอก



          หันไปทางซ้ายจะเจอเนิน 102 พอเห็นคนอยู่บ้าง คนส่วนใหญ่ก็จะขึ้นมาแค่เนิน 102 ผมเลยถ่ายรูปอยู่บนนั้นคนเดียวอย่างหนาว ๆ



          พอเริ่มสว่างรุ่นน้องผมก็เดินตามขึ้นมา ได้เวลาทะเลาะกันอีกแล้ว ที่ทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องให้ถ่ายรูปให้ ต่างคนต่างก็จะให้ถ่ายให้ แต่ก็จะไม่ค่อยยอมถ่ายกัน เป็นแบบนี้ทั้งทริป



          ลมแรงและหนาวมากเมื่ออยู่บนที่สูง ๆ แบบนี้ เขาถึงบอกว่ายิ่งสูง ยิ่งสาว เอ๊ย ยิ่งหนาว



          ชุดอาบน้ำแบกมาจากอิตาลีเหรอ แบกมาไกลจัดไปไอ้น้อง สวัสดีเมืองลาว



          สายแล้วแต่หมอกยังหนาอยู่เลย ถ้าถามผมนะโดยส่วนตัวผมชอบดอยผาตั้งมากกว่าภูชี้ฟ้าอีก มุมให้ถ่ายภาพมีเยอะไม่แพ้กัน คนก็น้อยกว่า แปลกใจว่าทำไมคนถึงไม่ค่อยมาที่นี่กัน ใครมาดอยผาตั้งแต่ไม่อยากนอนเต็นท์ด้านล่างก็จะมีห้องพักไว้ให้บริการหลายที่นะครับ



          สายแล้วหมอกก็ยังอยู่ ในภาพนี้ลองจินตนาการดูครับคุณเห็นเป็นหน้าอะไร



          ลงมาก็มาหาข้าวกินกัน พร้อมกับสารภาพบาปจากคดีเมื่อคืน นี่ครับร้านป้าที่พวกผมฝากท้องกัน มีชาอุ่น ๆ ให้จิบแก้หนาว หรือถ้าอยากชิมไวน์ก็ร้านข้าง ๆ เลยครับ



          เมาฟรี ลูกหมาป่า ชิมได้เลยครับเต็มที่ คนขายใจดี แต่ผมไม่ได้ซื้อนะ ขี้เกียจแบก น้องผมมันจัดไปสองขวด แต่ผมซื้อบ๊วยแทน



          หลังจากเมาได้ที่ เอ๊ย..ไม่ใช่ สายแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องไปต่อ สถานที่ต่อไปภูชี้ฟ้า ก็ร่ำลาป้ากล่าวขอบคุณและขอโทษ (เรื่องเตา) เก็บของแล้วออกเดินทางกันต่อเลย

          ตอนที่อยู่ที่ดอยผ้าห่มปกเราได้คำแนะนำจากพี่นักท่องเที่ยวท่านหนึ่งที่เราเจอกันมาตั้งแต่อ่างขาง ว่าให้ขึ้นทางนี้เพราะทางขึ้นจะมีต้นพญาเสือโคร่ง ที่ทางบ้านร่มฟ้าทองได้ปลูกไว้ประมาณ 5,000 ต้น อาทิตย์ก่อนมีคนไปมากำลังบานเลย ได้ยินแบบนั้นผมหูผึ่งเลยเลือกขึ้นทางนั้น ปกติถ้าขึ้นภูชี้ฟ้าคนส่วนใหญ่จะขึ้นทางเก่า คราวที่แล้วตอนผมขึ้นผมก็ขึ้นทางนั้น แต่ถ้ามาจากดอยผาตั้งจะถึงทางขึ้นของบ้านร่มฟ้าทองก่อน ทางเดินขึ้นทำเป็นบันไดไม้ไผ่เรียบร้อย แต่ก็เหนื่อยอยู่ดี 55555



          ขอบอกเลยครับว่าทางเข้าทั้งเส้นมีแต่ต้นพญาเสือโคร่งจริง ๆ ครับ แต่น่าเสียดายที่ผมไปมันร่วงไปเกือบหมดแล้ว ลองคิดดูถ้ายังบานอยู่จะเป็นถนนที่สวยแค่ไหนครับ ลองมโนดูครับ แล้วต้นปีนี้ไปดูของจริง





          นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งของภูชี้ฟ้าที่ใครมาก็ต้องมาถ่ายที่นี่



          ดอยที่ 7 ที่สุดท้ายและดอยสุดท้ายครับ "ภูชี้ผ้า" หลังจากภูชี้ฟ้าก็ต้องขับรถกลับเชียงใหม่กันเลย ชนิดที่ว่ายาว ๆๆๆๆๆๆ ไป 10 โมงกว่าถึงหกโมงครึ่ง ไม่อยากกลับเลยอยากอยู่ต่อ แต่มีสิ่งเดียวที่บอกให้ต้องกลับครับ เงิน...ถ้าเงินหมดอยากแค่ไหนยังไงก็ต้องกลับ



          รูปนี้ใช้ไอโฟนถ่ายนะครับ



          ระยะทางที่ใช้ทั้งหมดคือ 1,000 กว่ากิโลเมตร จริง ๆ ประมาณ 1,050 กิโลเมตร เพราะบนดอยอ่างขางเราใช้รถคันเดียว ขับยาว ๆ มาถึงถึงร้านเช่ารถก็ถึงเวลาที่ร้านกำลังจะปิดพอดี เกือบไม่ทัน เหมือนครั้งที่แล้วเป๊ะ ดีที่มีคนเอารถมาคืนหลายคน



          คืนรถเสร็จก็หมดสภาพครับ นอนจมกองสัมภาระ ทริปนี้ใช้ไปคร่าว ๆ นะครับประมาณ 4 พันบาทกลาง ๆ จริง ๆ มันไม่แพงนะ กินน้อยกว่าทริปที่แล้วอีก แต่ทำไม่ยังแพงอยู่

          ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ คันละ 1,200 บาท
          ค่าน้ำมัน คันละประมาณ 1,000 บาท
          ค่ากิน ประมาณคนละ 1,000 กว่าบาท
          ค่าเบียร์รวม ๆ แล้วน่าจะประมาณ 2,000 บาท นี่แหละสาเหตุที่แพง

          จบทริปพักผ่อนตามอัธยาศัย กลับไปห้องพักหน้าสถานีรถไฟเก็บของ พรุ่งนี้ตีห้าขึ้นรถไฟแต่เช้า...ตีห้าครึ่ง



          ก่อนนอนคืนนั้นเพื่อนมันถามว่าจะตั้งปลุกกี่โมงต้องออกไปเอาตั๋ว ด้วยความที่ชะล่าใจเพราะคิดว่ายังไงรถไฟต้องออกเลทแน่ ๆ เพราะขบวนที่ออกจากเชียงใหม่เป็นขบวนที่มาจากกรุงเทพฯ ฉะนั้นถ้าขบวนที่มาจากกรุงเทพฯ เลท ขบวนที่ออกจากเชียงใหม่ก็เลทด้วย ผมจึงบอกไปว่าตื่นตีห้าก็ทัน ยังไงก็เลท ตีห้าครึ่งแบกของเดินทัวร์ตัวหวานเย็นมาที่สถานีรถไฟ พอถึงสถานีเราได้ยินประกาศว่าท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับขบวนรถเร็ว เชียงใหม่-กรุงเทพฯ เวลา 05.30 น. ขณะนี้รถไฟกำลังจะออกแล้ว พอได้ยินเท่านั้นแหละ โกยเถอะโยม วิ่งงงงงงงงงงงง ผมไปเอาตั๋ว เพื่อนวิ่งไปรอที่รถไฟ พอได้ตั๋วเสร็จเรียบร้อยวิ่งขึ้นรถไฟ ปู๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน รถไฟออกทันที เกือบตกรถไฟ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าไว้ใจทางอย่าวางใจการรถไฟ มักจะมีเซอร์ไพรส์ให้ท่านเสมอ ขึ้นรถไฟทีไรได้วิ่งเสมอ



          ขึ้นรถไฟเรียบร้อยก็นอนต่อเถอะครับ เจอกันอีกทีสาย ๆ ยังไงก็ขอจบกระทู้รั่ว ๆ ของเราแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่อุตส่าห์ตามอ่านจนจบ เจอกันใหม่ทริปต่อไปครับ

cre kapook  and Tour Hi Tour

Dew
เช็คอินสะสม: 4475 วัน
เช็คอินต่อเนื่อง: 29 วัน

ความคืบหน้าการอัพเกรด: 46%

โพสต์ 2014-11-23 15:14:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด
thank you
เช็คอินสะสม: 1685 วัน
เช็คอินต่อเนื่อง: 1 วัน

ความคืบหน้าการอัพเกรด: 22%

โพสต์ 2014-11-24 19:32:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณมากครับ
เช็คอินสะสม: 1039 วัน
เช็คอินต่อเนื่อง: 10 วัน

ความคืบหน้าการอัพเกรด: 100%

โพสต์ 2014-11-24 22:07:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณที่นำมาฝาก น่าไปเที่ยวจัง

ตอบกระทู้

สำหรับคนที่ขี้เกียจพิมพ์
คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนที่จะตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

รายละเอียดเครดิต

TOP